ทนายความจังหวัดอุบลราชธานี

ทนายความจังหวัดอุบลราชธานี

เปิดหน้าต่อไป

กฎหมายใหม่และคำพิพากษาฎีกาที่สำคัญ

หัวข้อกฎหมายแก้ไขใหม่

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับดอกเบี้ย

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับใบกระท่อม

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับกัญชา

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับการค้ำประกัน

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับสัญญาขายฝาก

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับจำนอง 

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับเช่าซื้อ   

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับดอกเบี้ยเช่าซื้อ 

คำพิพากษาฎีกาที่สำคัญ

คำพิพากษาเกี่ยวกับการสินสอด หรือของหมั้น

คำพิพากษาเกี่ยวกับการฟ้องค่าทดแทน (ชู้)

กฎหมายแก้ไขใหม่ (1)

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับดอกเบี้ยเช่าซื้อ           

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับดอกเบี้ย

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับใบกระท่อม

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับกัญชา

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับการค้ำประกัน

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับสัญญาขายฝาก

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับจำนอง 

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับเช่าซื้อ     

  1. กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับดอกเบี้ย  

ตราดอกเบี้ยแก้ไขใหม่ตามกฎหมายไทยที่ควรทราบ มีดังนี้:

1. **ดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์**:

   - จากวันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ยสำหรับหนี้ที่ไม่มีการกำหนดดอกเบี้ยเป็นพิเศษ อยู่ที่ร้อยละ 3 ต่อปี (เดิมอยู่ที่ 7.5% ต่อปี)

   - หากประกอบกับส่วนของสัญญาหรือบทบัญญัติอื่น หากไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า ก็จะใช้อัตราตามกฎหมายนี้

 

2. **ดอกเบี้ยผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์**:

   - อัตราดอกเบี้ยผิดนัดเริ่มตั้งแต่ 11 เมษายน 2564 อยู่ที่ร้อยละ 5 ต่อปี (เดิมคือ 7.5% ต่อปี)

   - หากมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าตามสัญญาและในกรณีผิดนัดชำระมากกว่า 30 วัน อัตราดอกเบี้ยผิดนัดอาจมีการเพิ่มขึ้นตามที่กำหนด

 

3. **กฎหมายอื่น ๆ**:

   - อาจมีการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายเฉพาะอีก การปฏิบัติต้องดูรายละเอียดในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

 

การเปลี่ยนแปลงนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดภาระดอกเบี้ยและสร้างสมดุลในการดำเนินธุรกิจและชีวิตประจำวันของประชาชน ข้อกฎหมาย/details อาจมีการปรับปรุงได้ ควรติดตามประกาศจากทางราชการอย่างใกล้ชิด


***************************************

2. กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับใบกระท่อม

ตามกฎหมายใหม่เกี่ยวกับพืชใบกระท่อมในประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังนี้:

1. **การปลดล็อกใบกระท่อม**:

   - ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป ใบกระท่อม (Mitragyna speciosa) ถูกถอดออกจากรายการยาเสพติดให้โทษประเภท 5

2. **การปลูกและครอบครอง**:

   - การปลูก การจำหน่าย และการครอบครองใบกระท่อมจึงเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย ไม่ต้องขออนุญาตเป็นพิเศษ

3. **การบริโภคและผลิตภัณฑ์**:

   - สามารถใช้ใบกระท่อมในการบริโภคในชีวิตประจำวันได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่ไม่ขัดต่อกฎหมายอื่น เช่น ห้ามใช้ใบกระท่อมในอาหารหรือเครื่องดื่มที่ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย

4. **การศึกษาและวิจัย**:

   - การศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับใบกระท่อมสามารถทำได้เสรีมากขึ้น ทำให้มีโอกาสนำข้อมูลมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือการแพทย์ได้มากขึ้น

5. **ข้อห้ามและข้อควรระวัง**:

   - แม้ว่าจะได้รับการปลดล็อกให้ถูกกฎหมาย การใช้ใบกระท่อมอย่างผิดวิธีหรือในปริมาณที่มากเกินไปอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ

   - ห้ามใช้งานในกรณีที่ขัดต่อกฎหมายอื่น ๆ หรือเสียหายต่อสังคมและความสงบเรียบร้อย

ประกาศนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับยาเสพติดและสามารถส่งเสริมการใช้ใบกระท่อมให้เกิดประโยชน์แก่การแพทย์และเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ควรติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้อง

***************************************

  3. กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับกัญชา

กฎหมายเกี่ยวกับกัญชามีการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่การใช้งานที่หลากหลายและถูกกฎหมายในบางกรณี

 

1. **การลดกำหนดความผิด**:

   - กัญชาได้ถูกถอดออกจากรายการยาเสพติดประเภท 5 ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ทำให้สามารถครอบครองและใช้ในการแพทย์ได้ถูกกฎหมาย

 

2. **การปลูกและครอบครอง**:

   - สามารถปลูกกัญชาที่บ้านได้โดยต้องแจ้งและลงทะเบียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

   - การปลูกในเชิงพาณิชย์ต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

 

3. **การใช้ทางการแพทย์**:

   - กัญชาสามารถใช้เพื่อการรักษาทางการแพทย์และการวิจัยได้ เช่น ในการบรรเทาอาการปวด โรคหลายชนิด รวมถึงการใช้ในยาแผนโบราณ 

   - ยาที่มีสาร THC (tetrahydrocannabinol) และ CBD (cannabidiol) จะต้องผ่านการรับรองจาก อย.

 

4. **การผลิตและจำหน่าย**:

   - สามารถผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชาได้ โดยต้องได้รับอนุญาตจาก อย. และต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนด

   - อาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชาต้องมีส่วนผสมของ THC ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด

 

5. **การศึกษาและวิจัย**:

   - มีการเปิดกว้างให้สามารถศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับกัญชา เพื่อใช้ในการพัฒนาและนำไปสู่การใช้ประโยชน์ที่มากขึ้น

 

6. **ข้อห้ามและข้อควรระวัง**:

   - ห้ามจำหน่ายหรือใช้กัญชาในที่สาธารณะที่ขัดต่อศีลธรรมและกฎหมายอื่น ๆ ที่ควบคุม

   - การใช้กัญชาที่ไม่เหมาะสม เช่น การเสพเพื่อมึนเมาในที่สาธารณะ ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

 

การเปลี่ยนแปลงกฎหมายนี้เป็นการเปิดโอกาสให้สามารถใช้ประโยชน์จากกัญชาในทางการแพทย์และเชิงพาณิชย์ได้ แต่ควรใช้อย่างมีสติและปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดเพื่อความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดจากการใช้งาน

  ***************************************  

 

  4. กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับการค้ำประกัน

การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการค้ำประกันในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญบางประการเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ค้ำประกันและผู้กู้ มีรายละเอียดหลักดังนี้:

 

1. **การจำกัดความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกัน**:

   - การค้ำประกันต้องระบุขอบเขตและวงเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบอย่างชัดเจน หากไม่ระบุจะไม่สามารถเรียกร้องเกินกว่าที่ตกลงไว้

 

2. **การแจ้งสิทธิเกี่ยวกับการค้ำประกัน**:

   - สถาบันการเงินหรือผู้ให้กู้ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการค้ำประกันให้ผู้ค้ำประกันทราบอย่างครบถ้วน ก่อนที่จะตกลงค้ำประกัน

   - ต้องชี้แจงเงื่อนไขและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการค้ำประกันให้ผู้ค้ำประกันเข้าใจ

 

3. **การแจ้งเตือนการเรียกร้อง**:

   - หากมีการดำเนินการเรียกร้องจากผู้ให้กู้ ผู้ให้กู้ต้องแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบล่วงหน้าภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ผู้ค้ำประกันมีโอกาสเตรียมตัว

   - ผู้ให้กู้ต้องแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบเมื่อผู้กู้มีการผิดนัดชำระหนี้ เช่น การไม่ชำระเงินตามกำหนด

 

4. **การยกเลิกการค้ำประกัน**:

   - ผู้ค้ำประกันสามารถถอนตัวจากการค้ำประกันได้ โดยต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรและแจ้งให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทราบ

   - การถอนตัวจะมีผลต่อการค้ำประกันในอนาคตเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงหนี้สินที่เกิดขึ้นก่อนการถอนตัว

 

5. **การระงับความรับผิดชอบ**:

   - หากไม่มีการดำเนินการเรียกร้องจากผู้ให้กู้ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามสัญญา ผู้ค้ำประกันอาจพ้นจากความรับผิดชอบในการค้ำประกัน

 

6. **การค้ำประกันร่วม**:

   - หากมีผู้ค้ำประกันหลายคน ความรับผิดชอบสามารถถูกแบ่งแยกตามสัดส่วนที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น แต่ละคนอาจรับผิดชอบตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ในสัญญา

 

การเปลี่ยนแปลงกฎหมายเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องสิทธิของผู้ค้ำประกันควบคู่ไปกับการคุ้มครองผู้ให้กู้ด้วย ความชัดเจนด้านเงื่อนไขและความรับผิดชอบที่ได้รับการปรับปรุง ทำให้การค้ำประกันเป็นไปอย่างยุติธรรมและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น 

 

***************************************

 

5. กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับการขายฝาก

การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการขายฝากในประเทศไทยถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความคุ้มครองและความเป็นธรรมให้กับทั้งผู้ขายฝากและผู้รับขายฝาก มีประเด็นหลักที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงดังนี้:

 

### 1. **ระยะเวลาการไถ่ถอนการขายฝาก**:

   - ระยะเวลาการไถ่ถอนจำกัดอยู่ตามที่ระบุในสัญญา แต่ไม่เกิน 10 ปี หากไม่มีการระบุในสัญญา จะถือว่ามีระยะเวลา 3 ปี เป็นมาตรฐาน

 

### 2. **การแจ้งเตือนการไถ่ถอนการขายฝาก**:

   - ผู้รับขายฝากต้องแจ้งเตือนล่วงหน้าแก่ผู้ขายฝากเกี่ยวกับกำหนดการไถ่ถอน ก่อนวันที่กำหนดไถ่ถอนไม่น้อยกว่า 30 วัน

   - การแจ้งเตือนนี้ต้องเป็นไปตามขั้นตอนและรูปแบบที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ผู้ขายฝากมีโอกาสเตรียมตัวและตัดสินใจในเรื่องการไถ่ถอน

 

### 3. **การขยายระยะเวลาการไถ่ถอน**:

   - ผู้ขายฝากสามารถขอขยายระยะเวลาการไถ่ถอนได้ หากผู้รับขายฝากยินยอม โดยต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรและลงลายมือชื่อกันในสัญญาขยายระยะเวลา

 

### 4. **การไถ่ถอนก่อนกำหนด**:

   - ผู้ขายฝากสามารถทำการไถ่ถอนก่อนกำหนดได้ ถ้าผู้รับขายฝากยินยอม โดยต้องระบุเงื่อนไขในสัญญาที่มีความยุติธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย

 

### 5. **การปฏิเสธไถ่ถอน**:

   - หากผู้ขายฝากปฏิเสธการไถ่ถอนแต่มีการชำระเงินค่าตอบแทนครบถ้วนตามสัญญา ผู้ขายฝากสามารถฟ้องเรียกร้องให้นำทรัพย์สินกลับคืนเป็นของตนได้ตามกฎหมาย

 

### 6. **การลงทะเบียนและข้อกำหนดทางกฎหมาย**:

   - สัญญาขายฝากต้องจดทะเบียนกับสำนักงานที่ดินหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันการโต้แย้งในภายหลัง

   - รายละเอียดของสัญญาต้องชัดเจน รวมถึงเงื่อนไขการชำระเงิน ระยะเวลาในการไถ่ถอน และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

### 7. **การคุ้มครองผู้ขายฝากที่มีข้อเสียเปรียบ**:

   - กฎหมายใหม่มีมาตรการคุ้มครองผู้ขายฝากที่เป็นผู้ด้อยโอกาสหรือมีข้อเสียเปรียบ เช่น ผู้สูงอายุ คนทุพลภาพ หรือผู้ที่มีความสามารถในการตกลงต่ำ ทำให้การขายฝากสามารถได้รับการพิจารณาว่ายุติธรรมหรือไม่

 

### 8. **บทลงโทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย**:

   - ผู้กระทำการที่ไม่เป็นธรรมในกระบวนการขายฝาก เช่น การบังคับหรือความกดดันที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจถูกลงโทษตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

 

การเปลี่ยนแปลงกฎหมายเหล่านี้มีผลให้กระบวนการขายฝากเป็นไปอย่างยุติธรรมและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น ช่วยทั้งคุ้มครองผู้ขายฝากและส่งเสริมความมั่นใจในการทำธุรกรรมของผู้รับขายฝากด้วย

 

**************************************

 

6. กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับจำนอง      


กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับการจำนองในประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นเพื่อให้การจำนองเป็นกระบวนการที่เป็นธรรมและมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยมีสาระสำคัญดังนี้:

 

1. **การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน**:

   - มีการกำหนดวิธีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่ชัดเจนและโปร่งใสโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับอนุญาต เพื่อป้องกันการประเมินที่ไม่เป็นธรรม.

 

2. **สิทธิของผู้จำนอง**:

   - เพิ่มสิทธิให้ผู้จำนองมีสิทธิในการโต้แย้งการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน.

   - ผู้จำนองสามารถเสนอชื่อผู้ประเมินเพิ่มเติมเพื่อความเป็นธรรม.

 

3. **การชำระหนี้ก่อนกำหนด**:

   - ผู้จำนองสามารถชำระหนี้ก่อนกำหนดได้โดยไม่มีค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายแอบแฝง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้จำนองและลดภาระทางการเงิน.

 

4. **การบังคับคดีและการขายทอดตลาด**:

   - กระบวนการบังคับคดีถูกปรับปรุงให้มีความโปร่งใสยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการประกาศขายและการดำเนินการขายทอดตลาด.

   - มีการกำหนดขั้นตอนการแจ้งเตือนไปยังผู้จำนองก่อนทำการขายทอดตลาดเพื่อให้มีโอกาสในการชำระหนี้หรือหาทางแก้ไขสถานการณ์.

 

5. **สิทธิในการอยู่อาศัย**:

   - ผู้จำนองสามารถขอสิทธิในการอยู่ในทรัพย์สินที่จำนองอยู่ในระยะเวลาหนึ่งหลังจากการขายทอดตลาดสำเร็จ เพื่อให้มีเวลาในการหาที่อยู่อาศัยใหม่.

 

การปรับปรุงเหล่านี้มุ่งเน้นที่จะสร้างความเป็นธรรม เพิ่มความโปร่งใส และให้การคุ้มครองสิทธิแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้จำนองและผู้ประกอบการทางการเงิน

***************************************

 

7. กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับเช่าซื้อ  

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับการเช่าซื้อในประเทศไทยได้มีการพัฒนาเพื่อเพิ่มความเป็นธรรมและคุ้มครองสิทธิของทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่าซื้ออย่างสมดุล โดยมีเนื้อหาหลักที่สำคัญดังต่อไปนี้:

 

### 1. **การกำหนดเงื่อนไขการเช่าซื้อ**

- มีการกำหนดเงื่อนไขการเช่าซื้อที่ชัดเจนและโปร่งใส เช่น การระบุค่าเช่า, การชำระเงินล่วงหน้า, และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด.

- ผู้ให้เช่าต้องแจ้งรายละเอียดครบถ้วนเกี่ยวกับต้นทุนและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการเช่าซื้อ.

 

### 2. **การคุ้มครองผู้เช่าซื้อ**

- เพิ่มสิทธิให้ผู้เช่าซื้อสามารถขอข้อมูลเกี่ยวกับสถานะการชำระเงินได้ตลอดระยะเวลาการเช่าซื้อ.

- ผู้เช่าซื้อมีสิทธิ์ในการโต้แย้งค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับที่ไม่เป็นธรรม และสามารถร้องขอการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้.

 

### 3. **การบอกเลิกสัญญาและการบังคับคดี**

- กฎหมายกำหนดการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อในกรณีที่ผู้เช่าซื้อไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้อย่างชัดเจน โดยกำหนดขั้นตอนการแจ้งเตือนและระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา.

- กระบวนการบังคับคดีต้องมีความโปร่งใสและจัดการอย่างเป็นธรรม ไม่ให้ผู้เช่าซื้อถูกกดดันหรือเสียเปรียบ.

 

### 4. **การชำระหนี้ก่อนกำหนด**

- ผู้เช่าซื้อมีสิทธิ์ในการชำระหนี้เช่าซื้อก่อนกำหนดโดยไม่มีค่าปรับ หรือถ้ามีค่าปรับก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนและเป็นธรรม.

 

### 5. **สิทธิในการครอบครองทรัพย์สิน**

- ผู้เช่าซื้อสามารถขอสิทธิ์ในการครอบครองทรัพย์สินที่เช่าซื้อในระยะเวลาหนึ่งหลังจากการบอกเลิกสัญญาหรือการบังคับคดี เพื่อให้มีเวลาในการจัดหาทางออกหรือทรัพย์สินใหม่.

 

### 6. **การแจ้งเตือนและข้อมูลสัญญา**

- ผู้ให้เช่าต้องแจ้งการเตือนหลายครั้งก่อนดำเนินการบอกเลิกสัญญาหรือบังคับคดี และต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและสิทธิต่าง ๆ ที่ผู้เช่าควรรู้.

 

### สรุป

การปรับปรุงกฎหมายเช่าซื้อในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความชัดเจนของเงื่อนไขและกระบวนการเช่าซื้อ, ป้องกันการเอาเปรียบทั้งจากผู้ให้เช่าและผู้เช่าซื้อ, และเพิ่มเติมความคุ้มครองสิทธิของผู้เช่าซื้อให้ดีมากยิ่งขึ้น.

 

***************************************

 

8. กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับดอกเบี้ยเช่าซื้อ    

กฎหมายแก้ไขใหม่เกี่ยวกับดอกเบี้ยเช่าซื้อในประเทศไทยมีการปรับปรุงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและโปร่งใสยิ่งขึ้น โดยมีเนื้อหาสำคัญที่ปรับปรุงหลัก ๆ ดังนี้:

 

### 1. **การควบคุมอัตราดอกเบี้ย**

- กำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สามารถเรียกเก็บได้อย่างชัดเจน โดยไม่ให้เกินจากที่กฎหมายกำหนด.

- อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกหรือแม้กระทั่งการคำนวณดอกเบี้ยตามความเป็นจริงเพื่อป้องกันการเก็บดอกเบี้ยเกินความจริง.

 

### 2. **ความโปร่งใสในการคำนวณดอกเบี้ย**

- ผู้ให้เช่าต้องแจ้งวิธีการคำนวณดอกเบี้ยให้ผู้เช่าซื้อรับทราบอย่างชัดเจน.

- การเปิดเผยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (APR – Annual Percentage Rate) เพื่อให้ผู้เช่าซื้อสามารถการเปรียบเทียบและทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น.

 

### 3. **การชำระหนี้ล่วงหน้า**

- ผู้เช่าซื้อมีสิทธิในการชำระหนี้เช่าซื้อล่วงหน้าโดยไม่ต้องเสียค่าปรับดอกเบี้ยในจำนวนที่ไม่เป็นธรรม.

- การคำนวณดอกเบี้ยที่ต้องชำระเมื่อมีการชำระล่วงหน้าต้องเป็นไปตามอัตราที่กำหนดในสัญญาและกฎหมาย.

 

### 4. **การป้องกันการเอาเปรียบ**

- ห้ามการเรียกเก็บดอกเบี้ยที่ซ้ำซ้อนหรือเกินราคาจริง.

- การป้องกันการเรียกเก็บค่าปรับดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรมในกรณีที่ผู้เช่าซื้อไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนด.

 

### 5. **ข้อมูลประกอบคำชี้แจง**

- ผู้ให้เช่าต้องแจ้งรายละเอียดที่ครบถ้วนรวมถึงการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขการเช่าซื้อที่โปร่งใส.

 

### 6. **มาตรการลงโทษ**

- เพิ่มมาตรการลงโทษสำหรับผู้ให้เช่าที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด.

 

### สรุป

การปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับดอกเบี้ยเช่าซื้อมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เช่าซื้อได้รับความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น, ป้องกันการเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่ไม่เป็นธรรม, และเสริมสร้างความโปร่งใสในการทำธุรกรรม. การปรับปรุงนี้จะช่วยให้กระบวนการเช่าซื้อเป็นที่เข้าใจง่ายและป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น.

***************************************  

 

คำพิพากษาฎีกาที่สำคัญ (1)

คำพิพากษาฎีกาที่ 7868/2560 (สินสอดหรือของหมั้น)

การที่จำเลยซึ่งเป็นมารดาของ ช. เจ้าบ่าว หยิบสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำทรัพย์ตามฟ้องที่วางอยู่บนโต๊ะของร้านทองไป ไม่ว่าทรัพย์ตามฟ้องจะถือเป็นสินสอดหรือของหมั้นหรือไม่ก็ตาม แต่ฝ่ายจำเลยก็ส่งมอบทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ฝ่ายโจทก์ร่วมซึ่งเป็นมารดาของ น. เจ้าสาว ยึดถือครอบครองอันเป็นการยกให้ในวันพิธีมงคลสมรสแล้ว จำเลยจึงไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์ดังกล่าว หากจำเลยเห็นว่าฝ่ายโจทก์ร่วมไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างไร จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องฟ้องคดีทางแพ่งเพื่อเรียกทรัพย์คืน หามีสิทธิฉกฉวยเอาทรัพย์มาโดยพลการไม่ การกระทำของจำเลยเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์

คำพิพากษาฎีกาที่ 8803/2559 (หย่าเรียกค่าเลี้ยงดู)

จำเลยใช้ถ้อยคำพูดกับโจทก์ว่า "กูเบื่อผู้ชายแก่ ๆ ควยเล็ก เซ็กส์ห่วย หัวล้าน ตัวเตี้ย ๆ หน้าเหี้ยใจยังเหี้ย หัวขโมยแบบมึงเต็มที" และ "กูมีความพร้อมทุกอย่าง สาวสวยเหมาะสมกับหนุ่ม ๆ แข็งแรงฟิตเปรี๊ยะ พร้อมเริ่มต้นใหม่ ไม่มีอะไรยาก กูแต่งงานกับมึงเพื่อประชด อ. เจ็บ ก็แค่นั้น กูไม่ได้พิศวาสมึงเลย..." และส่งข้อความทางโทรศัพท์ว่า "เดี๋ยวกูจะไปนอนให้คนอื่นเอา" เป็นถ้อยคำหยาบคาย อันมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาทเหยียดหยามโจทก์และถือได้ว่าเป็นการประพฤติตนอันเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3) และ (6) ส่วนการที่โจทก์ไม่กลับบ้านนานนับสัปดาห์ ไม่ยอมหลับนอนกับจำเลย ออกจากบ้านไปแล้วไม่กลับมาอยู่ด้วยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 ไม่อุปการะเลี้ยงดู จึงเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงตาม ป.พ.พ. 1516 (6) เช่นกัน เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่ากัน โจทก์จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ คดีจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คู่ความจึงไม่มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้อีก ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ประกอบมาตรา 247

 เงินฝากในบัญชีธนาคารและสลากออมสิน นั้น โจทก์นำสืบว่า ระหว่างสมรสจำเลยนำเงินส่วนที่โจทก์มอบให้ไปเปิดบัญชีเงินฝากและซื้อสลากออมสิน ทางนำสืบจำเลยไม่ปรากฏว่าทรัพย์สินดังกล่าวที่อ้างว่าเป็นสินส่วนตัวของจำเลยได้มาอย่างไร จึงเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาจากโจทก์ที่ให้เงินมาในระหว่างเป็นสามีภริยา จึงเป็นการได้มาภายหลังจากที่โจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่า ทรัพย์สินอย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือไม่ กรณีต้องถือตามข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1474 วรรคท้ายว่า เงินฝากในบัญชีธนาคาร และสลากออมสินเป็นสินสมรส ชายและหญิงพึงได้ส่วนเท่ากัน โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากสินสมรสดังกล่าวกึ่งหนึ่งมีผลย้อนหลังไปจนถึงวันฟ้องหย่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1532 (ข) และ 1533

 รถยนต์ยี่ห้อเมอร์ซีเดสเบนซ์และรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า โจทก์ซื้อมาใส่ชื่อจำเลยในใบคู่มือจดทะเบียน ก่อนจดทะเบียนสมรส จำเลยได้ครอบครองใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ยี่ห้อเมอร์ซีเดสเบนซ์ จำเลยนำสืบประกอบภาพในสื่อสังคมออนไลน์ (facebook) ที่ลงภาพเพื่อขอบคุณโจทก์ มีของใช้ส่วนตัวของจำเลยวางในรถ มีสติ๊กเกอร์ชื่อจำเลยแปะกระจกรถ โจทก์ได้แสดงความเห็นในเชิงหยอกล้อการขับรถของจำเลย และโจทก์เองก็มีรถยนต์ใช้อยู่แล้ว ถือว่าโจทก์ให้จำเลยโดยเสน่หา เป็นสินส่วนตัวจำเลย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1471 (1) โจทก์ต้องคืนรถทั้งสองคันดังกล่าวที่โจทก์เอาไปให้จำเลย

 เดิมจำเลยได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากโจทก์เดือนละ 100,000 บาท โจทก์รับว่าไม่ได้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยก่อนฟ้องเป็นเวลา 4 เดือน เมื่อสามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1461 และจำเลยไม่มีหลักฐานมายืนยันรายได้ก่อนสมรสกับโจทก์ ที่ศาลล่างกำหนดให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่จำเลยเดือนละ 50,000 บาท เหมาะสมแล้ว ส่วนที่จำเลยขอค่าอุปการะเลี้ยงดูภายหลังจากหย่าไปจนกว่าจำเลยจะสมรสใหม่นั้น เนื่องจากการหย่าเป็นความผิดของทั้งสองฝ่าย ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจศาลที่จะกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูส่วนนี้ให้

 จำเลยฟ้องแย้งว่า โจทก์บุกรุกเข้าไปในบ้านใช้สเปรย์ฉีดพ่นทรัพย์สินได้รับความเสียหายนั้น เป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดซึ่งไม่ได้อาศัยเหตุแห่งการหย่าและการเรียกค่าทดแทนตามฟ้องเดิมเป็นมูลหนี้ แต่เป็นการกล่าวอ้างการกระทำอีกตอนหนึ่งของโจทก์อันเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นแตกต่างจากฟ้องเดิม 

ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องแย้งในข้อนี้มานั้นชอบแล้ว แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะฟ้องใหม่เพื่อเรียกค่าซ่อมแซมทรัพย์สินดังกล่าวภายในอายุความ

X